TECHSCAPE SCAPE OF FUTURE
5 Technology Trends in 2023
  • December 15, 2022
  • content creater
  • 0

5 Technology Trends in 2023

ในฐานะนักอนาคตศาสตร์ (Futurist) ที่มีหน้าที่ในการมองอนาคต และระบุแนวโน้มที่สำคัญที่สุดในอนาคตของธุรกิจ และเทคโนโลยี ซึ่งในขณะที่บางกลุ่มคน หรือบางกลุ่มธุรกิจจะต้องใช้เวลาถึงอีก 10 ปีข้างหน้าจึงจะสามารถเข้าถึง ดังนั้นนักอนาคตศาสตร์ก็ต้องให้ข้อมูลอนาคตระยะกลางด้วย (Intermediate Future) เพื่อช่วยให้ผู้นำด้านธุรกิจในทุกๆภาคส่วนได้เข้าถึง และสามารถจัดลำดับความสำคัญสิ่งต่างๆ ได้ด้วย

ในทุกๆ ปี นักอนาคตศาสตร์ (Futurist) จะต้องมอง และคาดการณ์ไปในเรื่องของอนาคต วางแผนร่างเทรนด์เทคโนโลยีที่สำคัญในปีที่กำลังจะมาถึง ซึ่งเป็นสิ่งที่ธุรกิจต้องจัดการในวันนี้เพื่อให้ยังสามารถแข่งขันในโลกที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปได้อยู่ตลอดเวลา

5 Technology Trends ในปี 2023 ที่สำคัญ มีดังนี้

1.ปัญญาประดิษฐ์ (AI: Artificial Intelligence)

ในสังคมยุคปัจจุบันสามารถที่พบได้ทุกที่ ทุกคนน่าจะได้เห็นโฆษณาเกี่ยวกับ AI มาระยะหนึ่งแล้ว แต่หากคุณไม่ใช่คนที่ทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยี หรือสนใจมันอย่างจริงจัง คุณอาจไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า AI จะกลายเป็นสิ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายได้อย่างไร ซึ่งในความเป็นจริง มีการใช้อัลกอริทึมที่อัจฉริยะอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาทางอินเทอร์เน็ต การซื้อของออนไลน์ การนำทางท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ การค้นหาความบันเทิงทั้งในรูปแบบเก่า และรูปแบบใหม่ๆ ที่มีการพัฒนามากขึ้น การจัดการตารางเวลาของตัวเอง และการจัดการงานต่างๆ ทั้งแบบปกติทั่วไป และแบบที่มีความสร้างสรรค์ การโฆษณาเกี่ยวกับ AI จะยังคงดำเนินต่อไป Sundar Pichai CEO ของ Google ได้กล่าวถึง AI ในแง่ของผลกระทบที่มีต่ออารยะธรรมของมนุษย์ว่า

AI เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่สิ่งสำคัญที่สุด ที่มนุษย์กำลังสร้างขึ้น มันลึกซึ้งและมีความหมายกับโลกมากกว่าการค้นพบไฟ (Fire) เสียอีก

และยังได้อธิบายเพิ่มอีกว่า

เราได้เรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากไฟ (Fire) เพื่อมนุษยชาติ แต่เราก็ต้องเอาชนะข้อเสียของมันด้วย เช่นเดียวกันกับที่ AI มีความสำคัญมาก แต่เราก็อาจต้องคำนึงถึงข้อเสียที่จะเกิดขึ้นของมันด้วย

ระบบนิเวศที่สมบูรณ์ของโซลูชั่น AI แบบ No Code และแพลตฟอร์มการให้บริการ จะดำเนินการต่อไปให้สามารถเข้าถึงได้มากขึ้น ด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี และงบประมาณ ผู้ที่มีแนวคิดที่สร้างสรรค์จะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ที่เสริมประสิทธิภาพได้ด้วย AI ทำให้การใช้ชีวิตของเราง่าย และดีมากขึ้น

การโฟกัสกิจกรรมด้าน AI อย่างจริงจังในปี 2023 เป็นการเพิ่มจำนวนงานให้กับอุตสาหกรรมแรงงาน แม้ว่า AI จะส่งผลให้เกิดการลดแรงงานคนบางกลุ่มลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็จะมีงานใหม่ๆ เกิดขึ้นมาแทนที่อย่างแน่นอน ดังนั้นนายจ้างที่มีความรับผิดชอบ และมองการณ์ไกล จะตระหนักถึงสิ่งที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนี้ โดยทำให้พนักงานสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือใหม่ที่มีอย่างเต็มกำลัง และเต็มประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์งานเพื่อองค์กร และสังคม

อีกหนึ่งส่วนที่น่าจับตามอง คือ เนื้อหาที่มีการวิเคราะห์ ซึ่งเกี่ยวกับการควบคุมพลังความสร้างสรรค์ของ AI ในการสร้างสรรค์ ภาพ เสียง หรือข้อมูลใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่นเดียวกับที่มนุษย์ทำขณะที่กำลังวาดภาพ หรือเขียนเพลง อัลกอริธึมภาษาธรรมชาติ (Natural Language Algorithms) ทำให้คอมพิวเตอร์มีความเข้าใจ และสร้างการสื่อสารที่เป็นภาษามนุษย์ขึ้นมาใหม่ได้ โดย Avatar จะสามารถตอบคำถาม หรือสื่อสารด้วยการพูดเป็นเสียงของเราได้ แม้เราไม่เคยพูดคำนั้นเลยก็ตาม เทคโนโลยีเดียวนี้ยังได้ขับเคลื่อนเทคโนโลยีคลิปปลอม (Deepfake) ที่มีการเลียนแบบหน้าของ Tom Cruise ได้อย่างแนบเนียน และการแสดง Metaphysic ที่สร้างความประทับใจอย่างล้นหลามให้กับผู้ชมในรายการ America’s Got Talent ในปี 2022 นี้คาดว่าจะได้เห็นการเติบโตในการใช้รูปแบบของ AI แบบนี้มากขึ้นในวงการบันเทิง วงการธุรกิจ และวงการอุตสาหกรรมมากมาย ในปี 2023 ที่กำลังจะมาถึง

5 Technology Trends in 2023

2.อินเตอร์เน็ตแห่งอนาคต (Metaverse)

สำหรับช่วงเวลานี้ คำอธิบายที่ดีที่สุดที่สามารถใช้กับคำว่า Metaverse คือ  “โลกดิจิทัลที่ใกล้เคียงกับโลกจริงมากขึ้น” มันอาจฟังดูซับซ้อน แต่ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้ว สภาพแวดล้อมออนไลน์ที่เสมือนจริงและประสบการณ์ของผู้ใช้ระดับถัดไป จะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรในอีก 5 ปีข้างหน้า

Mark Zuckerberg  คิดว่า Metaverse คือ เทคโนโลยีที่จำลองสถานที่ขึ้นมาเป็นโลกเสมือน (Virtual Reality: VR) และเทคโนโลยีที่นำวัตถุ 3 มิติ มาจำลองเข้าสู่โลกจริง (Augmented Reality: AR) ในขณะที่ผู้สร้างแพลตฟอร์ม Web 3 อย่าง Decentraland หรือ The Sandbox คิดว่า Metaverse คือ ศูนย์กลางการกระจาย (Decentralization) และระบบโครงข่ายการเก็บข้อมูลบัญชีธุรกรรมออนไลน์ (Blockchain) นอกเหนือจากเทคโนโลยี VR/AR ที่ Mark Zuckerberg กล่าวถึงด้วย เราไม่สามารถแยกไอเดียต่างๆออกจากกันได้ และไม่มีเหตุผลใดที่อินเทอร์เน็ตในอนาคตจะไม่เป็นทั้งแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) แบบที่สร้างขึ้นใกล้เคียงกับโลกเสมือนจริง และคอนเทนต์ 3 มิติ (3D Content) แต่แนวคิดที่หลากหลายนั้น กลับถูกโยนทิ้งไปเมื่อต้องอธิบายถึงนิยามของคำว่า Metaverse นั่นทำให้เกิดความสับสนกันอย่างมากในช่วงปี 2022

นับตั้งแต่วันที่ Mark Zuckerberg ได้เปิดตัวโษณาเกี่ยวกับ Metaverse ในช่วงปลายปี 2021 องค์กรขนาดใหญ่ของอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งแต่การธนาคารไปจนถึงอุตสาหกรรมแฟชั่น อุตสาหกรรมบันเทิง และอุตสาหกรรมวิดีโอเกมส์ ต่างก็ให้ความสนใจในเรื่องของ Metaverse กันมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และโดยส่วนใหญ่ได้เข้าสู่โลก Metaverse โดยการใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม Metaverse-leaning ที่มีอยู่แล้ว เช่น Decentraland, Roblox หรือ The Sandbox เพื่อสร้างภาพลักษณ์ในรูปแบบ Metaverse โดยหวังว่าจะสามารถเชื่อมต่อกับผู้ที่เริ่มใช้งาน Metaverse ได้ในช่วงแรกของการเปิดตัว Metaverse (คาดว่าส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่น Gen Z เป็นต้นไป) ร้านขายเสื้อผ้าอย่าง Forever 21 ที่เปิดตัวบน Metaverse ที่ Roblox ในปี 2022 ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะสามารถทำรายได้มหาศาลจาก Metaverse หรือเพิ่มประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าของเขามากมายนัก แต่จุดประสงค์หลัก คือ การเปิดพื้นที่ในการทดสอบ และสาธิตเทคโนโลยีนั้นแก่บรรดาผู้ถือหุ้น และกลุ่มลูกค้าที่สนใจในด้านเทคโนโลยี เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็วตามเทรนด์ที่เกิดขึ้นมาใหม่บนโลก

ในปี 2023 การสร้างภาพลักษณ์ และการนำร่องนี้ กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในกลุ่มองค์กรขนาดเล็ก ในขณะที่แบรนด์ใหญ่ระดับโลกนั้น มีการใช้เทคโนโลยีนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว จากนี้ไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะเริ่มผนวกเข้าหากัน เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีความคาดหวังว่า ผลิตภัณฑ์และบริการดังกล่าว จะกลายเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคหลัก มากกว่าการผลิตสินค้าขึ้นมาเพื่อจูงใจผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี และผู้ที่เริ่มใช้งานเท่านั้น อีกไม่นาน เราจะได้สัมผัสกับ Metaverse ทั้งบนโทรศัพท์มือถือและบนอุปกรณ์อื่นๆ ที่นอกเหนือจากโทรศัพท์มือถือ เราจะเชื่อมต่อกับมันได้จากทุกที่ในโลกใบนี้ และบนทุกอุปกรณ์ที่เราใช้งาน โดย Smartphone จะไม่ใช่อุปกรณ์ที่ถูกตั้งเป็นค่ามาตรฐานเสมอไปอีกแล้ว วิธีใหม่ในการเข้าถึงและโต้ตอบกับคอนเทนต์ รวมถึงชุดหูฟัง แว่นตาอัจฉริยะ และชุดที่สามารถเชื่อมโลกจริงกับโลกเสมือนเข้าด้วยกันได้ จะเป็นสิ่งที่เบิกทางในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่นั้นขึ้นมา ธุรกิจใดที่ไม่ต้องการจะเป็นองค์กรที่ล้าหลังในวันเวลาที่โลกมีอินเตอร์เน็ตในรูปแบบใหม่กำเนิดขึ้นมา สิ่งที่จะต้องคำนึงถึง มีดังนี้

(1) ความสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการที่สามารถส่งมอบประสบการณ์ที่คุ้มค่า และเสมือนจริงมากขึ้นได้อย่างไร

(2) ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม และเครื่องมือต่างๆ ที่กำลังจะถูกสร้างขึ้นมาในการทำให้กระบวนการภายในขององค์กร มีความน่าสนใจ มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างไร นั่นอาจหมายถึงการสร้างศักยภาพของการทำงานจากระยะไกล (Remote Work) ร่วมกัน การฝึกอบรม การเริ่มต้นใช้งาน และการจัดการโปรเจ็คต่างๆ

3.โลกของการแก้ไขแบบดิจิทัล (Digitally Editable)

ความสามารถในการสร้างสิ่งต่างๆ ที่เป็นดิจิทัลขึ้นมาใหม่บนโลกแห่งความจริงทางกายภาพ (Physical World) คือสิ่งที่ทำให้ Metaverse สามารถทำงานได้ในสถานที่แรก แต่แนวคิดนี้ก็ได้นำหน้าไปไกลกว่าแค่การสร้างประสบการณ์ออนไลน์ที่เสมือนจริง ปัจจุบันนี้ เราสามารถแก้ไขสิ่งต่างๆ ในโลกดิจิทัลได้ และเป็นแนวทางที่มีอิทธิพลต่อโลกความจริงด้วย ตัวอย่างเช่น การสร้างฝาแฝดดิจิทัล ทีมแข่งรถใน Formula 1 ได้สร้างรถแข่งฝาแฝดดิจิทัลใน Metaverse หรือโลกเสมือน และมีการควบคุมสั่งการบนโลกดิจิทัลในการทดสอบรถแข่งในอุโมงค์ลมเสมือน และทดลองผ่านการจำลองแบบดิจิทัล การทดสอบดังกล่าวทำให้พวกเขาสามารถเปลี่ยนส่วนประกอบของรถยนต์ในโลกดิจิทัลได้ มีการปรับเปลี่ยนจนกระทั่งได้ส่วนประกอบที่เหมาะสมที่สุดก่อนที่จะนำไปพิมพ์ส่วนประกอบเหล่านี้ที่เป็นแบบ 3 มิติ สำหรับรถยนต์ในโลกแห่งความเป็นจริงได้

เขาพบว่าความสามารถในการแก้ไข หรือตั้งค่าโปรแกรมวัสดุในโลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นนาโนเทคโนโลยี มีความคล้ายคลึงกัน ทั้งนี้การจัดการคุณลักษณะ และองค์ประกอบของวัสดุที่ระดับนาโน ทำให้เราได้วัสดุที่มีคุณสมบัติใหม่ขึ้นมามากมาย เช่น สีที่ซ่อมแซมตัวเองได้ และเสื้อผ้าที่ไม่ซับน้ำ  แม้กระทั่งการพัฒนาวัสดุขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ได้แก่ กราฟีน (Graphene) ซึ่งเป็นวัสดุที่บางที่สุดและแข็งแรงที่สุดเท่าที่ที่เคยมี

จุดสุดยอดของโลกที่สามารถแก้ไขได้ คือการจัดการสิ่งมีชีวิต เช่น พืช สัตว์ หรือมนุษย์ โดยการแก้ไขข้อมูลทางพันธุกรรมที่ทำหน้าที่ในการพัฒนา และควบคุมการทำงานของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น โครงการเริ่มต้นคือ โครงการจีโนมมนุษย์ (Human Genome Project) เป็นโครงการที่สร้างตัวแทนดิจิทัลของสายดีเอ็นเอทั้งหมดได้สำเร็จ  และยังได้นวัตกรรมใหม่ขึ้นอีก เช่น วิธีการแก้ไขยีน CRISPR Cas9 ที่สามารถเปลี่ยนดีเอ็นเอ และโครงสร้างทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้

เทคโนโลยีนี้ทำให้เกิดความเป็นไปได้มากมายแบบไร้ขีดจำกัด  คุณลักษณะใดๆ ของสิ่งมีชีวิตที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงตามหลักทฤษฎีได้ เด็กสามารถสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านโรคที่เขาได้รับมาจากพ่อแม่ได้ พืชผลการเกษตรก็สามารถได้รับการพัฒนาให้ต้านทานต่อศัตรูพืชและโรคระบาดได้ ยารักษาโรคก็สามารถถูกปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละบุคคลตามพันธุกรรมของพวกเขาเองได้

4. การปรับโครงสร้างความน่าเชื่อถือด้วย Blockchain

ในอดีต กระบวนการที่สร้างความไว้วางใจระหว่าง 2 ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกันทางออนไลน์ จะถูกดำเนินการผ่านคนกลาง ธนาคารและบริษัทต่างๆ เช่น Paypal จะทำการตรวจสอบยืนยันตัวตนของเรา และทำหน้าที่เป็นผู้ค้ำประกัน เมื่อเราส่งเงินไปให้เพื่อนหรือครอบครัว บริการการยืนยันการชำระเงิน และบริการป้องกันการฉ้อโกง จะทำให้เราเชื่อมั่นได้ว่า การอนุญาตให้บริษัทจัดเก็บ และประมวลผลข้อมูลทางการเงินของเรา ซึ่งมีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือ ระบบดังกล่าวข้างต้นเป็นระบบรวมศูนย์ (Centralized Systems) ที่เราจะประสบปัญหาไปด้วย เมื่อใดก็ตามที่บริษัทที่เป็นผู้ให้บริการ ไม่สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือดำเนินการโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเรา

ในปี 2023 ข้อสงสัยที่เกี่ยวกับความไว้วางใจ จะวนเวียนอยู่กับเรื่องหลักการกระจายศูนย์ (Decentralization) ซึ่งหมายถึง การกำจัดการควบคุมขั้นสูงสุดขององค์กร บริษัท หรือกระบวนการที่มีจุดศูนย์กลางของการเป็นเจ้าของเพียงหนึ่งเดียวออกไป โดยการเปลี่ยนมาใช้เครือข่ายแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Networking) ที่สร้างขึ้นจากความเห็นพ้องต้องกันและการเข้ารหัส สิ่งเหล่านี้คือองค์ประกอบสำคัญของบล็อกเชน ที่จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงวิธีการจัดเก็บข้อมูลหรือเรียกใช้โปรแกรม ที่กระจายตัวอยู่บนคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง แต่ไม่สามารถถูกแทรกแซงได้โดยใครก็ตามที่ไม่ได้รับการอนุญาต

ตัวอย่างยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานอย่าง Shell ได้เปิดเผยแนวคิดริเริ่มที่ขับเคลื่อนจากความไว้วางใจที่ใช้ Blockchain เพื่อยืนยันแหล่งที่มาของพลังงานยั่งยืนที่เข้าสู่ระบบโครงข่าย (Grid) และผู้ผลิตเครื่องดื่ม William Grant and Son แนบ Digital Tokens แบบกระจายศูนย์ (NFTs) ลงบนขวดวิสกี้ Glenfiddich ที่มีราคาสูงมาก เพื่อขายให้กับนักสะสม ซึ่งจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ความเป็นของแท้ได้เมื่อมีการนำไปขายต่อ

การกระจายศูนย์ (Decentralization) จะนำไปสู่หนทางใหม่ในการทำธุรกรรม การสื่อสาร และการทำธุรกิจ ที่ไม่ใช่แค่สำหรับมนุษย์เท่านั้น แต่เครื่องจักรก็เช่นกัน จะได้รับประโยชน์จากความสามารถในการทำธุรกรรมที่ปลอดภัยระหว่างกัน ทำให้องค์ประกอบของธุรกิจ และอุตสาหกรรม ที่มีระบบเชื่อมต่อที่แตกต่างกัน สามารถทำงานอย่างอัตโนมัติได้มากขึ้น ธุรกิจต่างๆ กำลังเดิมพันกันอย่างยิ่งใหญ่ ว่าเทคโนโลยี Blockchain จะขับเคลื่อนวิวัฒนาการของความสัมพันธ์ ด้วยแนวคิดในการเป็นเจ้าของดิจิทัล และกระตุ้นการเติบโตของผู้บริโภคได้ หลายแบรนด์ดัง เช่น Prada และ Balenciaga ได้นำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ โดยให้ผู้ใช้งาน “พิสูจน์” ว่าได้เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ Luxury ที่เป็นดิจิทัลของแท้ ที่อวดโฉมในโลกเสมือนจริงได้ หาก Metaverse หมายถึง ผู้คนจำนวนมากที่จะใช้เวลา และใช้เงินแบบออนไลน์มากขึ้น แน่นอนว่าจะต้องมีคนที่ต้องการสิ่งที่พิเศษไม่เหมือนใคร และสามารถพิสูจน์ความเป็นเจ้าของและที่มาได้

ในที่สุดก็นำไปสู่แนวคิดขององค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Autonomous Organization: DAO) หน่วยงานที่อาจเป็นบริษัท องค์กรการกุศล ผู้ให้บริการ หรือกลุ่มชุมชนก็ได้ ที่ต้องมีการจัดการ และบริหารงานผ่านซอฟต์แวร์และกฎที่กำหนดไว้บน Blockchain การตัดสินใจทั้งหมดทำได้โดยวัดจากความคิดเห็นส่วนใหญ่ ซึ่งมักจะหมายถึง การลงคะแนนเสียงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผลการลงคะแนนจะถูกคำนวณโดยอัตโนมัติด้วย Smart Contracts (โปรแกรม Blockchain) ที่สามารถจัดการได้ทุกอย่าง ตั้งแต่การชำระเงิน ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดการ การสร้างกฎและข้อบังคับใหม่ หรือกระทั่งการเปลี่ยนชื่อขององค์กร

5. โลกอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกันแบบ Hyper 

โลกอัจฉริยะจะเป็นโลกที่เชื่อมโยงทุกสิ่งเข้าด้วยกัน มันคือเครือข่ายของเซ็นเซอร์ อุปกรณ์ และโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งรวบรวมข้อมูลที่เราต้องการ นำไปสร้าง Metaverse สร้างฝาแฝดดิจิทัล ฝึกเครื่องจักรอัจฉริยะ และออกแบบวิธีการใหม่ในการสร้างความเชื่อมั่นทางดิจิทัล (Digital Trust) สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รู้จักกันในนามของ Internet of Things (IoT) ที่จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตอย่างต่อเนื่องในปี 2023

การสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างเครื่องต่อเครื่องให้สามารถใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น และมีความซับซ้อน เป็นสิ่งที่จะต้องเน้นย้ำกันต่อไป ทุกวันนี้เราเคยตกแต่งบ้านของเราด้วย Gadgets และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ เพิ่มสีสันในพื้นที่ทำงานด้วยเครื่องมือ และแอพพลิเคชั่นมากมาย แต่เรามักจะพบปัญหาเมื่อการสื่อสารของแต่ละเครื่องนั้นมีความยากลำบาก เนื่องจากมีใช้แพลตฟอร์ม และระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน แต่ในปี 2023 ที่กำลังจะมาถึง เราจะได้เห็นการพัฒนาที่เป็นมาตรฐานระดับโลก และ Protocols ที่จะทำให้อุปกรณ์ต่างๆ สามารถสื่อสารกันได้ง่าน และดีมากยิ่งขึ้น และนั่นหมายความว่า เครื่องมือต่างๆ นั้นจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถช่วยเหลืองานที่มีความหลากหลายได้มากขึ้นนั่นเอง

ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องเน้นย้ำ คือความปลอดภัยของ Internet of Things (IoT) ในขณะที่อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกัน สามารถพัฒนาชีวิตของเราได้ในหลายด้าน แต่อุปกรณ์เหล่านั้นก็ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้วยเช่นกัน อุปกรณ์ใดๆ บนเครือข่าย อาจเป็นจุดเชื่อมให้ผู้โจมตีเข้าถึงระบบหรือบุกรุกข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในนั้นได้ การปรับปรุงความสามารถด้านความปลอดภัยเพื่อขัดขวางการโจมตี มีความสำคัญเป็นลำดับแรกสำหรับบริษัทที่มีการลงทุนใน IoT และรวมไปถึงเครื่องมือที่มีความสามารถในการทำนายโดย AI

บริการ 5G และ 6G ในอนาคต ไม่ได้หมายถึงอุปกรณ์จะสื่อสารได้รวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมาเท่านั้น แต่ยังหมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกันได้หลายอุปกรณ์มากขึ้น การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์สามารถ “แบ่งส่วน” ออกเป็นช่องสัญญาณแยกจากกันได้ และจะไม่ถูกรบกวนจากสิ่งอื่นที่เกิดขึ้นบนเครือข่าย สุดท้ายก็จะได้อุปกรณ์เชื่อมต่อที่มีความน่าเชื่อถือสำหรับใช้ในกระบวนการที่สำคัญ เช่น การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์

เมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพ ปี 2023 จะยังเป็นปีที่เฟื่องฟูสำหรับผลิตภัณฑ์  และบริการที่ช่วยจัดการในเรื่องอขงสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของมนุษย์ เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ยังคงเป็นที่กังวลไปทั่วโลก และเป็นภัยคุกคามที่แพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการผ่อนคลายกฎหมายล็อกดาวน์ จึงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หันมาใช้เทคโนโลยี เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายยังมีสุขภาพดี และปลอดภัย มีอุปกรณ์อัจฉริยะที่ช่วยให้สามารถติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับสุขภาพของเราได้ Apple Watch โดยเฉพาะรุ่นใหม่ๆ จะมี Sensors ที่ล้ำสมัยที่สามารถวัดระดับออกซิเจนในเลือด และอุณหภูมิร่างกาย และสามารถวัดการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ได้ เทียบกับอดีตที่ราคา Hardware ที่สามารถสแกนค่าได้นั้นเข้าถึงได้ยาก และมีราคาสูงมากหลายหมื่นดอลลาร์ และในปีนี้คาดว่า จะได้เห็นการเข้าซื้อกิจการ Fitbit ของ Google ซึ่งจะรวมถึง Smart Watches และ Fitness Trackers ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

5 Technology Trends in 2023

 

นอกเหนือจาก 5 เทรนด์เทคโนโลยีที่สรุปไว้ข้างต้นแล้ว ยังมี Technology Trend ที่ ‘ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้’ อีกหนึ่งเทรนด์ ซึ่งจะได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้นในปี 2023 นั่นคือ เทคโนโลยีที่ยั่งยืน (Sustainable Technology)

เทคโนโลยีที่ยั่งยืน เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงนวัตกรรมที่คำนึงถึงทรัพยากรธรรมชาติ และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม

เป้าหมายของเทคโนโลยีเหล่านี้คือ การลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศให้มากที่สุด เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน

เทคโนโลยีนี้จะต้องมีความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และมีการประมวลผลสูง ค่าใช้จ่ายด้านสิ่งแวดล้อมบางส่วน อาจถูกซ่อนอยู่ในศูนย์ข้อมูลคลาวด์ (Cloud Data Centers) ซึ่งบริษัทที่ใช้เทคโนโลยี ไม่เคยพบมาก่อน ทั้งลูกค้าและนักลงทุน ต่างมองหาข้อมูลรับรองความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราจะได้เห็นการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในปี 2023 ศูนย์ข้อมูล และเทคโนโลยี Blockchain ก็จำเป็นต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และบริษัทฯ ก็จำเป็นต้องแน่ใจว่า จะไม่เสียทรัพยากรอันมีค่าในการจัดเก็บข้อมูลที่ไม่ต้องการ และในการใช้อัลกอริทึมที่ไม่ได้เพิ่มมูลค่าให้กับองค์กร

ตัวอย่างของเทคโนโลยีที่ยั่งยืน (Sustainable Technology)

  • การขนส่งสาธารณะและใช้ไฟฟ้า
  • เทคโนโลยีไฟ LED
  • พลังงานแสงอาทิตย์
  • เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน
  • การพึ่งพาตัวเอง อาคารที่ออกแบบเพื่อพลังงานและสิ่งแวดล้อม และวิธีการก่อสร้าง

 

Credit : https://www.forbes.com/sites/bernardmarr/2022/09/26/the-5-biggest-technology-trends-in-2023-everyone-must-get-ready-for-now/?sh=15ed5b5255d9

Credit : https://www.rubicon.com/sustainability-hub/articles/what-is-sustainable-technology/#:~:text=Sustainable%20technology%20is%20an%20umbrella,to%20create%20a%20sustainable%20product

 

TECHSCAPE
SCAPE OF ..THE FUTURE..